Autotirechecking สเปคและราคายางอัพเดตล่าสุด TOP CHART ยางรถยนต์ - ยางรถยนต์ขอบ 13" - ยางรถยนต์ขอบ 14 " - ยางรถยนต์ขอบ 15 " - ยางรถยนต์ขอบ 16 " - ยางรถยนต์ขอบ 17 " - ยางรถยนต์ขอบ 18 " - ยางรถยนต์ขอบ 19 " - ยางรถยนต์ขอบ 20 " - ยางรถยนต์ขอบ 21 " - ยางรถยนต์ขอบ 22 " ราคาและสเปคล้อแม็ก ราคาและสเปคแบตเตอรี่ ตารางผ่อนรถ โปรโมชั่น - โปรโมชั่นยางรถยนต์ขอบ 14 " - โปรโมชั่นยางรถยนต์ขอบ 15 " - โปรโมชั่นยางรถยนต์ขอบ 16 " - โปรโมชั่นยางรถยนต์ขอบ 17 " - โปรโมชั่นยางรถยนต์ขอบ 18 " ติดต่อโฆษณา

ถึงเวลาเปลี่ยนยางหรือยัง ?

ถึงเวลาเปลี่ยนยางหรือยัง ?

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับยางรถยนต์ที่มากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องอายุของยางรถยนต์ที่คนใช้รถส่วนใหญ่รู้และปฏิบัติกันครึ่งๆกลางๆ กล่าวคือในขณะที่เลือกซื้อยางรถยนต์มาใช้งาน คนจำนวนมากต้องการยางรถยนต์ที่มีอายุนับจากกันผลิตออกมาจากโรงงานน้อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ หลายคนไม่ยอมซื้อยางรถยนต์ที่มีอายุการผลิตเกินหนึ่งปีแล้วด้วยซ้ำไป

เพราะเกรงว่ายางที่ผลิตออกมาเกินหนึ่งปีไปแล้ว จะมีประสิทธิภาพด้อยกว่ายางที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่ๆสดๆร้อนๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงยางรถยนต์ที่เก็บอย่างถูกต้องตามกรรมวิธียาวนานถึง 5 ปี เมื่อถูกนำมาใช้งานก็มีสมรรถนะและประสิทธิภาพ ไม่ต่างไปจากยางที่ผลิตใหม่ๆแต่อย่างใด

และในขณะที่ตอนเลือกซื้อคนส่วนใหญ่เลือกยางที่มีอายุนับจากวันผลิตไม่มากนัก แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยางชุดใหม่กันอีกครั้งหนึ่ง คนจำนวนไม่น้อยในกลุ่มเดียวกันนั้นกลับตัดสินใจไม่ยอมเปลี่ยนยาง เพราะเห็นว่าดอกยางที่ตนเองใช้อยู่ยังไม่สึกไปมากนัก ทั้งที่ใช้ยางเส้นนั้นหรือทั้งชุดมานานมากกว่าหกเจ็ดปีแล้วด้วยซ้ำ

การที่ดอกยางยังสึกไปไม่มากนักไม่ได้หมายความว่า ยางเส้นนั้นจะมีประสิทธิภาพดีเท่ากับยางใหม่ เพราะประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนของยาง นอกจากจะอาศัยร่องดอกยางแล้ว ยังต้องอาศัยความยืดหยุ่นของเนื้อยางอีกด้วย

ดังนั้นยางที่ผ่านการใช้งานมานานปีแล้ว เนื้อยางจะถูกบดนวดด้วยน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุกไปตลอดเวลาที่เคลื่อนที่ ซึ่งการที่ถูกบดนวดไปตลอดเวลานี้เองที่จะทำให้เนื้อยางแข็งกว่ายางใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้งาน นั่นหมายถึงประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนย่อมลดน้อยลงไปด้วย เพราะเนื้อยางที่แข็งขึ้นหมายถึงโอกาสในการลื่นไถล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางโค้งและบนถนนเปียกย่อมเป็นไปได้สูงขึ้น

สิ่งที่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางเส้นใหม่หรือยังมีดังต่อไปนี้ อย่างแรกเลยก็คือสภาพของยางภายนอกที่ดูได้ด้วยสายตา ประกอบไปด้วยการสึกของดอกยาง, การแตกปริของเนื้อยาง หรือบาดแผลที่ทำให้ยางฉีกขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฉีกขาดหรือเกิดบาดแผลบริเวณแก้มยาง

อย่างที่สองคือความเสียหายของโครงสร้างยาง โดยเฉพาะยางที่เป็นแบบเรเดียลเส้นลวด ซึ่งหลายครั้งเกิดการฉีกขาดของเส้นลวด โดยไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก หรือเกิดการร่อนบวมแยกตัวระหว่างชั้นยาง อาการหลังนี้มักจะเกิดขึ้นด้านในของท้องยาง ซึ่งต้องถอดยางออกมาจากกระทะล้อจึงสามารถตรวจพบได้ แต่มีอาการที่ใช้สังเกตได้คือมักจะมีอาการพวงมาลัยสั่น เมื่อขับรถด้วยความเร็วระดับใดระดับหนึ่ง แม้จะทำการถ่วงล้อมาเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม

สิ่งที่เป็นตัวบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางรถยนต์หรือยังอีกประการหนึ่งคือ อายุการใช้งานของยางรถยนต์เส้นนั้นๆ แม้จะเห็นว่าดอกยางรถยนต์ยังมีเหลืออยู่มากก็ตาม แต่หากใช้ยางรถยนต์เส้นนั้นผ่านมานานถึงห้าปีไปแล้ว ก็ควรทำการเปลี่ยนยางเส้นนั้นไปเสียเพื่อความปลอดภัย

แต่อายุของยางรถยนต์นั้นต้องแบ่งการนับออกเป็นสองขั้นตอนด้วยกันคือ ขั้นตอนแรกนับอายุจากวันผลิตถึงวันที่เริ่มนำมาใช้ อายุของยางรถยนต์ที่เก็บไว้อย่างดีถูกต้องตามหลักการ สามารถเก็บไว้ก่อนที่จะนำมาใช้งานได้ยาวนานถึง 5 ปีหรือมากกว่านั้น ในขณะที่การนับอายุของยางรถยนต์ในขั้นตอนที่สองคือ นับจากวันเริ่มต้นที่นำยางเส้นนั้นมาใช้งานสัมผัสกับพื้นถนน อายุการใช้งานในขั้นตอนนี้ที่เหมาะสมสำหรับยางรถยนต์ ก็คือ 5 ปีนับจากวันเริ่มต้นใช้งาน  การนับอายุทั้งสองขั้นตอนจะแยกนับอายุออกจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่มีการเอาอายุหรือระยะเวลามารวมกัน เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ควรตรวจสอบยางรถยนต์กันบ้างนะครับ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ

Top